ปรับพฤติกรรมสักนิด แล้วชีวิตจะรอดพ้นจากอาการกรดไหลย้อน!

ปรับพฤติกรรมสักนิด แล้วชีวิตจะรอดพ้นจากอาการกรดไหลย้อน!

ไหน ใครเคยเป็นกรดไหลย้อนมาแล้วยกมือขึ้น! เรียกได้ว่าอาการกรดไหลย้อนเป็นอาการที่สามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย และที่สำคัญยังเป็นอาการที่ผู้คนในปัจจุบันมักจะเป็นกันอยู่บ่อยๆ เพราะพฤติกรรมความเคยชิน ทำให้อาการดังกล่าวนี้ แพร่กระจายและกลายเป็นเรื่องปกติที่หลายๆ คนต้องเจอ แต่! อย่าคิดว่าอาการกรดไหลย้อนนี้จะไม่มีพิษภัยอะไรต่อร่างกาย เพราะหากคุณเป็นบ่อยๆ หรือเป็นแบบเรื้อรังหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง มันอาจจะกลายเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายต่างๆ ภายในช่องท้องได้ ดังนั้นเราจึงรวบรวมข้อมูลเด็ดๆ เกี่ยวกับโรคและอาการของกรดไหลย้อนมาฝากคุณกัน รับรองเลยว่าคุณจะต้องตกใจและปรับพฤติกรรมหลังรับประทานอาหารอย่างไวเลยล่ะ!

6 สาเหตุหลักๆ ของการเกิดกรดไหลย้อน

1.การบีบตัวแบบผิดปกติของกระเพาะอาหาร

เมื่อเกิดการบีบตัวช้าลง ทำให้อาหารที่อยู่ภายในกระเพาะนั้นไหลย้อนขึ้นมา ซึ่งกรดจากกระเพาะก็จะไหลมาสู่หลอดอาหารด้วย ทำให้คุณรู้สึกแสบบริเวณกลางอก โดยอาหารที่ส่งผลให้กระเพาะบีบตัวช้าลงนั่นก็คืออาหารประเภทไขมันสูง เช่นมันหมู ช็อกโกแลต เป็นต้น

2.ความผิดปกติที่เกิดจากหูรูดส่วนปลายหลอดอาหาร

สาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อนข้อที่สองคือ ‘หูรูดส่วนปลายหลอดอาหารมีความผิดปกติ’ โดยอาจจะเกิดจากความดันของหูรูดต่ำหรือเปิดบ่อยมากกว่าปกติที่ควรจะเป็น ซึ่งความผิดปกตินี้เกิดจากการสูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์

3.การบีบตัวที่ผิดปกติของหลอดอาหาร

เมื่อการบีบตัวของหลอดอาหารทำงานได้ช้าลง ทำให้น้ำย่อยและอาหารที่คุณรับประทานเข้าไปนั้นไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะ ส่งผลให้คุณมีอาการกรดไหลย้อนนั่นเอง

4.เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางชนิดหรือเป็นพันธุกรรม

แบคทีเรียอย่างตัวเอชไพโรไล คือตัวหลักที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะ และมีอาการกรดไหลย้อนตามมา

5.การตั้งครรภ์

เมื่อครรภ์ใหญ่ขึ้นความดันภายในกระเพาะก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นจึงมีเสี่ยงต่อการเป็นกรดไหลย้อนมากขึ้นนั่นเอง

6.ความเครียดสะสม

ผู้ใดที่มีความเครียดสะสม ร่างกายจะส่งผลให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามากเกินไป จนเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคกรดไหลย้อนยังไงล่ะ

อาการสุดเจ็บจี๊ดของผู้ที่เป็นกรดไหลย้อน!

โดยทั่วไปแล้วอาการของผู้ที่เป็นกรดไหลย้อนคือ ท้องอืด แน่นท้อง คลื่นไส้ อาเจียนหลังรับประทานอาหาร หรือแสบร้อนที่กลางทรวงอก มีน้ำรสเปรี้ยวหรือรสขมไหลย้อนขึ้นมาในปาก เจ็บบริเวณหน้าอกจนต้องงอตัว! ซึ่งอาการเหล่านี้บอกได้คำเดียวว่า ‘ทรมาน’ แบบสุดๆ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก ซึ่งถ้าคุณไม่อยากที่จะมีอาการดังกล่าว คงต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมความเคยชินต่างๆ ที่เรากำลังจะกล่าวดังต่อไปนี้!

9 พฤติกรรมที่ควรเปลี่ยน ถ้าคุณไม่อยากเสี่ยงเป็นกรดไหลย้อน!

1.อย่าทำให้ตัวเองเกิดความเครียด

2.งดการบุหรี่แบบจัดๆ

3.หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับ โดยเฉพาะบริเวณรอบเอว

4.ออกกำลังกายและควบคุมน้ำหนักอยู่เสมอ

5.หลังรับประทานอาหารไม่ควรไปออกกำลังกายหรือยกของหนัก (ข้อนี้สำคัญ)

6.หากเกิดอาการท้องผูก ไม่ควรเบ่งแรงจนเกินไป

7.รับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงด้วยการทอดหรืออาหารที่มีไขมันสูง

8.ไม่ควรนอนหลังการรับประทานอาหารทันที  หรืออย่างน้อยควรเว้นระยะห่าง 3 ชม.

9.ไม่ควรรับประทานอาหารมากเกินไป เพราะจะทำให้ระบบภายในร่างกายของคุณนั้นทำงานหนัก ทานต่อพอดีก็เพียงพอ

เพียง 9 ข้อที่เราขอให้คุณเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมความเคยชิน ก็จะทำให้คุณนั้นห่างไกลจากอาการกรดไหลย้อนได้แบบง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเลย ซึ่งในบางข้ออาจจะต้องฝืนใจสักหน่อย แต่! เชื่อได้เลยว่าถ้าคุณทำได้แล้วมันจะเป็นผลดีต่อร่างกายของคุณอย่างแน่นอน!

แนวทางการรักษาโรคกรดไหลย้อน

1.รักษาโดยการรับประทานยา เช่น ยาเคลือบกระเพาะอาหารรักษาแผล ยาลดกรด

2.การผ่าตัด (ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการหนัก)

2.1ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาเป็นเวลานานแล้วไม่สามารถควบคุมอาการหรือหยุดยาได้

2.2ผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาได้ เพราะมีผลอันตรายข้างเคียงหรือแพ้ยา

อย่ามองข้ามอาการกรดไหลย้อนเป็นอันขาด!

แม้ว่าอาการกรดไหลย้อนจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่! ถ้าคุณปล่อยให้เป็นอยู่ประจำจนอาการนั้นเรื้อรัง มันอาจจะส่งผลร้ายต่อชีวิตของคุณได้เลยทีเดียว! ซึ่งอาการกรดไหลย้อนนั้น อาจจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนของโรคร้ายต่างๆ ได้เช่น หลอดอาหารอักเสบ มะเร็งหลอดอาหารส่วนปลาย หลอดอาหารหรือกระเพะอาหารอักเสบติดเชื้อ แผลในหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร ฯลฯ เรียกได้ว่าแต่ละโรคนั้นขึ้นชื่อในเรื่องของความรุนแรง ซึ่งถ้าคุณไม่อยากจะทำให้ตัวเองเสี่ยงที่จะเป็นโรคดังกล่าว อย่า! ละเลยหรือมองข้ามอาการกรดไหลย้อนเด็ดขาด

จากข้อมูลที่เรากล่าวมาข้างต้น คุณคงจะเห็นแล้วว่าอาการกรดไหลย้อนนั้นไม่ได้สร้างแต่ความทรมานต่อร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่! ยังเป็นสัญญาณเตือนของร่างกายว่ามีโรคร้ายได้เริ่มย่างกายเข้ามาในชีวิตคุณแล้ว ดังนั้นถ้าคุณไม่อยากจะต้องถึงขั้นไปนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล ก็อย่าปล่อยให้ตัวเองทรมานจากการเป็นกรดไหลย้อนอยู่บ่อยๆ! หากเป็นแล้วให้รีบรักษาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่างๆ ให้ออกไปจากตัวคุณ เพื่อที่ชีวิตจะดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องตื่นมาปวดแสบปวดร้อนกลางดึกอีกยังไงล่ะ!